.
ทำความรู้จักเทอร์โบ (Turbocharger)
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกับระบบนี้กันก่อน เทอร์โบ (Turbocharger) หรือที่หลายคนเรียกกันว่าระบบอัดอากาศ มันคือระบบที่นำอากาศเข้าไปไปในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้มากขึ้น ซึ่งตามธรรมชาติการเผาไหม้เครื่องยนต์ทุกชนิด เมื่ออากาศเพิ่มมากขึ้น ก็จะส่งผลให้การจุดระเบิดมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์มีพละกำลังมากขึ้น หรือมีแรงม้าเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ปัจจุบัน รถใหม่เกือบทุกคันมีเครื่องยนต์ที่ติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์เพื่อเสริมประสิทธิภาพด้านแรงบิดและช่วยลดขนาดของเครื่องยนต์ให้เล็กลงเพื่อลดการปล่อยมลพิษและลดการใช้เชื้อเพลิง ในอดีตนั้น เครื่องยนต์ดีเซลยังคงมีประสิทธิภาพที่ด้อยกว่าเครื่องยนต์เบนซินอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสียงการทำงานที่ดังสนั่น แรงสั่นสะเทือน และการปล่อยมลพิษที่มากกว่า รวมถึงขนาดและน้ำหนักต่อแรงม้า ก็ยังคงด้อยกว่าเครื่องยนต์เบนซิน แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบยุคใหม่มีประสิทธิภาพในด้านของแรงบิดดีกว่า เสียงการทำงานที่เคยดังสนั่นจากการทำงานของวาล์ว กับแรงสั่นสะเทือนที่กลายเป็นปัญหาหลัก ถูกแก้ไขจนหมดสิ้นไป หรือลดน้อยลงไปมาก ตัวเลขของการปล่อยมลพิษก็ลดลงจนเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบรุ่นใหม่บางยี่ห้อที่มีความจุเท่ากับเครื่องยนต์เบนซินแบบไม่มีเทอร์โบปล่อยมลพิษน้อยกว่า
ท่านที่ใช้รถกระบะ หรือรถบรรทุก รุ่นเทอร์โบ เมื่อใช้มาสักระยะหนึ่งแล้ว ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ก็จะมีการสึกหรอตามอายุการใช้งาน และเทอร์โบก็เป็นส่วนสำคัญหนึ่ง ที่มักจะเสีย และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข เพื่อรถของท่านใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีสังเกตุเมื่อเทอร์โบ มีเสียงหอน มีได้หลายปัจจัยเบื้องต้น เช่น…
1.น้ำมันเครื่องพร่อง มีเสียงหวีด หอน(โดยเฉพาะเมื่อรอบสูงๆ เสียงเหมือนเหล็กเสียดสีกัน) มีควันขาวตลอดเวลา เร่งไม่ขึ้น อืด กินน้ำมัน
2.ซีลกันน้ำมันเครื่องรั่ว แกนหลวม น้ำมันเครื่องเข้าไปในห้องเผาไหม้ มีควันขาวออกที่ปลายท่อไอเสีย น้ำมันเครื่องหายเครื่องมีเสียง เคสนี้บูสจะยังไม่ตก ทำลมได้ปกติ
3.แกนเทอร์โบขาด สาเหตุมาจากใช้บูสเยอะฝืนมากเกินไป ผลคือเครื่องไม่มีกำลัง บูสตก ความร้อนเครื่องยนต์ลดลง
4.ครีบเทอร์ไบน์ด้านไอดี-ไอเสียบิ่น แหว่ง นอกจากเครื่องไม่มีกำลัง บูสตก ความร้อนเครื่องยนต์ลดลงแล้ว หากเศษครีบเทอร์ไบหลุดเข้าไปในห้องเผาไหม้ อาจทำให้เครื่องพังได้
5.ท่ออากาศแตก แค้มรัดท่อหลวม ก็สามารถทำให้เกิดเสียงหอนได้เช่นกัน
6.อากาศผ่านกรองอากาศได้ไม่สะดวก มีเศษฝุ่นหรือวัสดุไปติด ทำให้เกิดเสียงหอน
อาการ
– น้ำมันเครื่องพร่อง เสียงหวีด หอน(รอบสูงเหมือนเหล็กเสียดสีกัน) มีควันขาวตลอดเวลา เร่งไม่ขึ้น อืด กินน้ำมัน
– ซีลกันน้ำมันเครื่องรั่ว : แกนหลวม น้ำมันเครื่องเข้าไปในห้องเผาไหม้ มีควันขาวออกที่ปลายท่อไอเสีย น้ำมันเครื่องหายเครื่องมีเสียงเขก เคสนี้บูสจะยังไม่ตก ทำลมได้ปกติ
– แกนเทอร์โบขาด : สาเหตุมาจากใช้บูสเยอะฝืนมากเกินไป ผลคือเครื่องไม่มีกำลัง บูสตก ความร้อน
เครื่องยนต์ลดลง
– ครีบเทอร์ไบน์ด้านไอดี-ไอเสียบิ่น แหว่ง : นอกจากเครื่องไม่มีกำลัง บูสตก ความร้อนเครื่องยนต์ลดลงแล้ว หากเศษครีบเทอร์ไบหลุดเข้าไปในห้องเผาไหม้ อาจทำให้เครื่องพังได้
ปัจจัยที่สำคัญที่เราต้องทราบเมื่อรถมีอาการผิดปกติ
1. พลังลดลง
อาการที่สำคัญที่สุดของคอมเพรสเซอร์ท่อที่ชำรุดคือกำลังเครื่องยนต์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด คุณจะสังเกตเห็นช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน – คุณจะรู้สึกว่ารถเสียอัตราเร่งและคุณจะประหลาดใจกับความเงียบอย่างกะทันหัน การสูญเสียพลังงานอย่างถาวรมักเกิดจากการรั่วไหลระหว่างเทอร์โบชาร์จเจอร์กับระบบไอดีหรือไอเสีย ตลอดจนการสึกหรอของชิ้นส่วนนี้มีสัญญาณบอกเทอร์โบเสียด้วย ระลอกคลื่น, เช่น. กำลังเครื่องยนต์ลดลงเป็นระยะ โดยปกติแล้วจะมีการรวมตัวบ่งชี้ข้อผิดพลาดไว้บนแดชบอร์ด ฉบับนี้กล่าวถึง กังหันเรขาคณิตแปรผัน… สาเหตุนี้เกิดจากการอุดตันของใบพัดที่เคลื่อนที่ เช่น เนื่องจากมีคราบสะสมระหว่างใบพัด
2. ควันสีน้ำเงิน
สีของควันจากท่อไอเสียจะบอกคุณได้มากเกี่ยวกับสภาพของเทอร์โบชาร์จเจอร์ หากเป็นสีน้ำเงินและมีกลิ่นไหม้ตามมาด้วย น้ำมันเครื่องรั่วเข้าห้องเผาไหม้… สามารถออกจากระบบหล่อลื่นได้หลายวิธี (เช่น ผ่านแหวนลูกสูบหรือซีลวาล์วที่เสียหาย) ตามทฤษฎีแล้วมันไม่สามารถไหลผ่านส่วนประกอบของกังหันได้ มันตั้งอยู่ในห้องที่มีการป้องกันด้วยซีลโลหะ ซึ่งไม่เหมือนกับท่อยางซึ่งไม่มีการกดทับหรือแตกหัก นอกจากนี้ โครงสร้างเทอร์โบชาร์จเจอร์ยังมีแรงกดดันมหาศาล นี่คือสิ่งที่ทำให้มันทำงาน และนี่คือสิ่งที่ป้องกันไม่ให้น้ำมันไหลออกจากห้องเพาะเลี้ยง
ไม่ควรค้นหาแหล่งที่มาของการรั่วไหลในเทอร์โบชาร์จเจอร์เช่นเดียวกับในตัวเทอร์โบชาร์จเจอร์ กรณีระบบหล่อลื่นเสีย… ปัญหาอาจเกิดจากวาล์ว DPF หรือ EGR สกปรก ท่ออุดตันที่ส่งน้ำมันผ่านห้องเทอร์ไบน์ หรือแม้แต่น้ำมันในเครื่องยนต์มากเกินไป
3. กระหายน้ำมันและการรั่วไหล
มันเกิดขึ้นที่รถยนต์ที่อัดมากเกินไป “รับ” น้ำมันอีกเล็กน้อย – นี่เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องเติมน้ำมันบ่อยกว่าปกติ ให้ตรวจสอบอย่างละเอียดและขอให้ช่างที่ไว้ใจได้ตรวจสอบระบบหล่อลื่น กังหันอาจเป็นตัวการ ทุกร่องรอยของน้ำมันบนเส้นควรเป็นข้อกังวล การหล่อลื่นของเทอร์โบชาร์จเจอร์หรืออินเตอร์คูลเลอร์ – หม้อน้ำที่ลดอุณหภูมิของอากาศก่อนที่จะเข้าสู่กระบอกสูบ – เป็นสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายของเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติอย่างรุนแรง
4. ควันดำ
ในรถยนต์องคาพยพ การย้อนกลับบางครั้งเกิดขึ้น – กับกระบอกสูบ มีอากาศไม่เพียงพอสำหรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่เหมาะสม… สิ่งนี้บ่งชี้ด้วยควันดำและกำลังเครื่องยนต์ลดลง ปัญหามักจะเกิดจากกลไกล้วนๆ – มันเกิดจากความเสียหายต่อโรเตอร์
5. เสียง
ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ทันสมัยนั้นเงียบมากจนผู้ขับขี่หลายคนจะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อสตาร์ทเสียแล้วจึงดังขึ้น เสียงผิดปกติใด ๆ ที่เครื่องยนต์ทำให้เกิดโดยทันทีควรเป็นสาเหตุของความกังวล แต่เสียงบางส่วนนั้น เสียงหวีดหวิว เสียงหอน หรือเสียงของการเสียดสีระหว่างโลหะกับโลหะ – โดยทั่วไปสำหรับกังหันที่ล้มเหลว… จะปรากฏขึ้นเมื่อปรับเครื่องยนต์เป็นรอบต่อนาทีที่สูงขึ้น (จากประมาณ 1500 รอบต่อนาที) และเพิ่มขึ้นตามภาระที่เพิ่มขึ้น สาเหตุอาจมีตั้งแต่ปัญหาท่อรั่วและการหล่อลื่น ตัวเรือนร้าวและตลับลูกปืนสึกหรอ ไปจนถึง DPF อุดตันหรือเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา
วิธีป้องกัน
– เลือกเกรดน้ำมันเครื่องแท้ได้คุณภาพตรงกับรุ่นเครื่อง
– หมั่นตรวจเช็คเปลี่ยนไส้กรองอากาศตามระยะทาง เพื่อป้องกันเศษฝุ่นที่ค้างตามไส้กรองดูดเข้าใบพัดเทอร์โบเกิดการกัดกร่อน สึกหรอ เสียการสมดุล แกว่ง บูส แหวนได้รับความเสียหายได้
– ติดวัดบูสจะช่วยตรวจเช็คอาการเบื้องต้นได้เร็ว เช่น บูสตก รวมถึงตรวจเช็คคราบน้ำมันในท่ออินเตอร์
– สตาร์ทวอร์มเครื่องก่อนออกรถ 5-10 นาที เพื่อให้น้ำมันไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ และแกนเทอร์โบ เมื่อใช้งานเสร็จก่อนดับเครื่องควรทิ้งไว้ 5-10 นาทีเช่นกัน เปิดฝากระโปรง เพื่อลดอุณหภูมิของเทอร์โบ เนื่องจากตอนจอดอุณหภูมิจะสูงมากกว่าปกติ บางคันจึงติดรีเลย์ทามเมอร์เพื่อหน่วงก่อนเครื่องดับ ป้องกันไม่ให้น้ำมันเครื่องไหม้ เป็นคราบยางเกาะที่แกนทำให้เกิดการสึกหรอได้ครับ
วิธีการแก้ไขเบื้องต้น
1.เป่า ทำความสะอาด กรองอากาศให้เรียบร้อย ดูว่ายังมีเสียงหอนหรือไม่ หากยังมีเสียงอยู่อาจจะต้องเปลี่ยนกรองอากาศใหม่ ซึ่งกรองอากาศควรเปลี่ยนตามอายุ ทุก ๆ ระยะประมาณ 15,000 ถึง 25,000 กิโลเมตร หรือ 12 เดือน ตามแต่เส้นทางที่ท่านใช้งานว่ามีฝุ่นมากหรือน้อย
2.เช็ครอยรั่ว บริเวณท่ออากาศว่า แตก ชำรุด หรือไม่ แค้มรัดท่อ แนบสนิทเรียบร้อยดีไหม
หากแก้ไขทั้ง 2 ข้อแล้วอาการหอนยังไม่หาย ค่อยซ่อมหรือเปลี่ยนเทอร์โบใหม่